วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่2

บันทึกอนุทิน

วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

อาจารย์ผู้สอน  อ.ตฤณ  แจ่มถิน

วันพุธที่ 21  มกราคม  2558

ครั้งที่  2  เวลาเรียน  08.30 - 12.20  น.



ความรู้ที่ได้รับในวันนี้



      วันนี้ก่อนจะเข้าสู่การเรียนการสอน อาจารย์ได้สอนร้องเพลงเกี่ยวกับเด็กปฐมวัย จำนวน 4 เพลง และทบทวนเพลงจากสัปดาห์ที่แล้วอีก 1 เพลง ได้แก่

  1. เพลง นม


นมเป็นอาหารดี มีคุณค่าต่อร่างกาย

ดื่มแล้วชื่นใจ ร่างกายแข็งแรง

ยังมีนมถี่วเหลือง ดื่มได้ดีและไม่แพง

ดื่มแล้วชื่นใจ ร่างกายแข็งแรง



2. เพลง อาบน้ำ


อาบน้ำซู่ซ่า ล้างหน้าล้างตา

ฟอกสบู่ถูตัว ชำระเหงื่อไคล

ราดน้ำให้ทั่ว เสร็จแล้วเช็ดตัว

อย่าให้ขุ่นมัว สุขกายสบายใจ


**อาจารย์ยกตัวอย่าง สำหรับพฤติกรรมของน้องดาวน์ซินโดรม ถ้าน้องได้ยินเสียงเพลงจากครูบ่อยๆน้องจะเคยชินและปฎิบัติกิจกรรมเองจนเป็นนิสัย โดยที่ครูไม่ต้องบอกให้เหนื่อย น้องสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากเพลง



3. เพลง แปรงฟัน


ตื่นเช้าเราแปรงฟัน

กินอาหารแล้วเราแปรงฟัน

ก่อนนอนเราแปรงฟันฟัน

สะอาดขาวเป็นเงางาม

แปรงฟันที่ถูกวิธี ดูซิต้องแปรงขึ้นลง

แปรงฟันที่ถูกวิธี ดูซิต้องแปรงขึ้นลง


**อาจารย์ยกตัวอย่าง พฤติกรรมของน้องออทิสติก ที่เป็นโรคกลัวแปรงน้องจะไม่กล้าจับแปรงสีฟัน ไม่กล้าแปรงฟัน แต่เมื่อน้องได้ร้องเพลงนี้กับครูปล่อยๆ ประมาณหนึ่งเดือน น้องมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คือ น้องสามารถจับแปรงสีฟันได้ 



4. เพลง พี่น้องกัน


บ้านของฉันอยู่ด้วยกันมากหลาย

พ่อ แม่ ปู่ ย่า ลุ ป้า ตา ยาย

มีทั้งน้า อา พี่และน้องมากมาย

ทุกคนสุขสบาย เราเป็นพี่น้องกัน




5. เพลง มาโรงเรียน
เรามาโรงเรียน เราเขียนเราอ่าน

ครูเล่านิทานสนุกถูกใจ

เราเรียนเราเล่น เราเป็นสุขใจ

ร่าเริงแจ่มใสเมื่อมาโรงเรียน


**สำหรับเพลงพี่น้องกัน กับ เพลงมาโรงเรียน เป็นเพลงที่ยอดฮิตมากในโรงเรียนอนุบาลทุกโรงเรียน ใช้เพลงนี้ร้องให้เด็กฟังในการปฏิบัติกิจกรรม ดังนั้นเราจึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องร้องเพลงให้เป็น


ผู้แต่ง อ.ศรีนวล รัตนสุวรรณ


*******เข้าสู่บทเรียนในวันนี้ อาจารย์สอนเรื่อง การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย...
----> การศึกษาในสังคมไทยตั้งแต่โบราณ มี 2 แบบ ได้แก่


1.การศึกษาปกติทั่วไป  สำหรับเด็กปกติ
2.การศึกษาพิเศษ  สำหรับเด็กพิเศษ แต่ในสมัยโบราณส่วนใหญ่พ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษจะไม่นิยม ให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนแต่จะให้ลูกแอบอยู่ที่บ้าน เพราะ อายว่ามีลูกไม่สมบูรณ์แบบเหมือนลูกคนอื่น  ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะนอกจากเด็กจะไม่มีการศึกษาไม่ได้เรียนรู้สิ่งต่าง กระบวนการทำงานของสมองไม่พัฒนาแล้ว ยังทำให้เด็กไม่มีทักษะในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ทำให้เด็กไม่สามารถดูแลเลี้ยงดูตนเองได้
ในปัจจุบันสังคมได้เห็นคุณค่าของเด็กพิเศษมากขึ้นจึงมีส่งเสริมเรื่องการศึกษาที่เพิ่มมาให้เพื่อดูแลเด็กพิเศษ 2 แบบ ได้แก่

1. การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education) ซึ่งจะแยกออกเป็น 2 แบบ คือ
    1.1 การเรียนร่วมบางเวลา  ก็คือจะมีศูนย์การศึกษาพิเศษที่คัดเลือกเด็กให้เข้าไปเรียนในโรงเรียนได้ แต่แค่บางช่วงเวลาของการเรียน ของเด็กปกติเท่านั้น ส่วนใหญ่จะนิยมให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษเข้าไปเรียนร่วมกัน กับ เด็กปกติในวิชาดนตรี วิชาศิลปะ และวิชาเคลื่อนไหว เพราะหลายๆคนเชื่อว่าดนตรีสามารถบำบัดพฤติกรรมของเด็กได้เป็นอย่างดี ส่วนศิลปะและการเคลื่อนไหว ทำให้เด็กได้ผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้เด็กมีความสุขกับการเรียน เด็กพิเศษที่เข้ามาเรียน จะมีความพิการ ปานกลางถึงมาก

    1.2 การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) จะมีศูนย์การศึกษาพิเศษที่คัดเลือกเด็กให้เข้าไปเรียนในโรงเรียนได้ เด็กจะได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนร่วมกัน กับเด็กปกติแบบเต็มเวลาทั้งแต่เช้า - เย็น เหมือนเด็กปกติทั่วไป ก็เพื่อให้เด็กพิเศษได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมของเด็กปกติได้อย่างมีความสุข เด็กพิเศษที่เข้ามาเรียน จะมีความพิการน้อย

2. การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)

  ก็คือการศึกษาที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กปกติ เรียนร่วมกัน โดยที่เด็กพิเศษสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนเด็กปกติได้ตั้งแต่ต้นเทอมพร้อนกัน และอยู่ในการควบคุมดูแลของทางโรงเรียน ส่วนแผนการสอนที่จัดเหมือนกันกับเด็กปกติทั่วไปทุกอย่างแต่จะมีแผนเฉพาะบุคคลเพิ่มขึ้นมา หรือ เรียกอีกหนึ่งว่า IEP ซึ่งเป็นเฉพาะบุคคลสำหรับเด็กพิเศษ


***นักทฤษฎีที่อาจารย์นำมาอ้างอิง สำหรับการเรียนการสอนครั้งนี้ คือ WILSON 

Wilson ยึดปรัชญการอยู่ร่วมกันโดยที่เด็กทุกคนเท่าเทียมกัน และต้องการให้เด็กอยู่ในสังคมร่วมกันกับผู้อื่นได้ ส่วนกิจกรรมที่จัดให้แก่เด็กต้องคำนึงด้วยว่า ไม่จัดให้ยากเกินไปจนเด็กพิเศษ ไม่สามารถปฎิบัติกิจกรรมได้ และไม่จัดให้ง่ายเกินไปจนเด็กปกติรู้สึกเบื่อจนไม่อยากทำกิจกรรม 

**เด็กพิเศษที่เข้าเรียนในโรงเรียนเด็กกับผู้ปกครอง จะเป็นคนเลือกโรงเรียนเองไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก 

**สิ่งที่ครูต้องคำนึงอย่างมากก็คือ" อย่าดูถูกเด็ก ให้คิดเสมอว่าเด็กทำได้ และอย่าคาดหวังเกินไป แต่ให้เชื่อว่าเด็กทำได้ "

*****หลังจากเรียนเสร็จอาจารย์ได้ทดสอบหลังเรียนจากความรู้ที่ได้รับในการเรียนในครั้งนี้*****



สิ่งที่จะนำไปพัฒนาและนำไปใช้ประโยชน์
    การเรียนในวันนี้ทั้งเนื้อหาและตัวอย่างที่อาจารย์ยกตัวอย่างให้ดู เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในชีวิตประจำวันซึ่งทำให้เห็นว่าทุกอย่างที่เรียนเรียนความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ได้จริง กับเด็กที่อยู่ในตัวเราที่เป็นเด็กพิเศษและสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปบอกต่อแก่ผู้ปกครอง เพราะผู้ปกครองบางคนไม่มีความรู้ในเรื่องของเด็กพิเศษเลย ตรงจุดนี้ดิฉันเห็นว่ามีประโยชน์และสำคัญมาก

ประเมิน

ประเมินตนเอง : การเรียนวันนี้มาเรียนก่อนเวลา แต่งกายเรียบร้อย แต่งทรงผมไม่เรียบร้อย เพราะผมเปื้อนลูกรังครึ่งหัว^^ บรรยากาศในห้องเรียนวันนี้อบอุ่นดีมีเพลงต่างกลุ่มมาเรียนด้วยทำให้รู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้น จดบันทึกทั้งที่อาจารย์สอนและอาจารย์ยกตัวอย่าง


ประเมินเพื่อน : เพื่อนส่วนมากมาเรียนตรงเวลา สลับเวลากันมาบ้างบางคนสาย บางคนสายไปปนๆกันไป^^~ ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อย ไม่เรียบร้อยแค่เรื่องผมเฉพาะบางคน เพื่อนทุกคนทั้งสองกลุ่มตั้งใจเรียน

ประเมินอาจารย์ : อาจารย์น่ารักสอนเข้าใจง่าย ตรงไหนไม่เข้าใจอาจารย์ก็ย้ำจนกว่าจะเข้าใจ (อาจารย์เข้าใจนักศึกษาทุกคนจริงๆ และคอยช่วยเหลือนักศึกษาทุกคน^^) เรื่องการแต่งกายอาจารย์ก็แต่งการน่ารักสไตล์หวานๆมาทุกคาบ^^ 









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น